รูปแบบการเรียนการสอนและระบวนการเรียนการสอนของไทย
1. รูปแบบการเรียนการสอนที่พัฒนาขึ้นโดยนักการศึกษาของไทย
2. รูปแบบการเรียนการสอนที่พัฒนาโดยนิสิตนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา
3. กระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอน
1. รูปแบบการเรียนการสอนที่พัฒนาขึ้นโดยนักการศึกษาไทย
1.1 รูปแบบการเรียนการสอนทักษะกระบวนการเผชิญสถานการณ์ พัฒนาโดย สุมน อภรวิวัฒน์
1.2 รูปแบบการเรียนการสอนโดยการสร้างศรัทธาและโยนิโสมนสิการ พัฒนาโดย สุมน อมรวิวัฒน์
1.3 รูปแบบการเรียนการสอนกระบวนการคิดเป็นเพื่อการดำรงชีวิตในสังคมไทย พัฒนาโดย หน่วยศึกษานิเทศก์ กรมสามัญศึกษา
1.4 รูปแบบการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูย์กลาง : โมเดลซิปปา (CIPPA) พัฒนาโดย ทิศนาแขมมณี
1.1 รูปแบบการเรียนการสอนทักษะกระบวนการเผชิญสถานการณ์พัฒนา โดยสุมน อมรวิวัฒน์
- ทฤษฎี
สุมน อมรวิวัฒน์ (2553:168-170) ได้พัฒนารูปแบบการเรียนการสอนนี้ขึ้นมาจากแนวคิดที่ว่า การศึกษาที่แท้ควรสัมพันธ์สดคล้องกับการดำรงชีวิต ซึ่งต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆซึ่งมีทุกข์ สุข ความสมหวังและความผิดหวังต่างๆ การศึกษาที่แท้ควรช่วยให้ผู้เรียนรู้ที่จะเผชิญกับสถานการณ์ต่างๆเหล่านั้นและสามารถเอาชนะปัญหาเหล่านั้นได้โดย
1.การเผชิญ ได้แก่การเรียนรู้ที่จะเข้าใจภาวะที่ต้องเผชิญ
2. การผจญ คือการเรียนรู้วิธีต่อสู้กับปัญหาอย่างถูกต้องตามทำนองคลองธรรมและมีหลักการ
3.การผสมผสาน ได้แก่การเรียนรู้ที่จะผสมผสานวิธีการต่างๆเพื่อนำไปใช่แก้ปัญหาได้สำเร็จ
4.การเผด็จ คือ การลงมือแก้ปัญหาให้หมดไปโดยไม่ก่อให้เกิดปัญหาสืบเนื่องต่อไปอีก
- กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ
1.ขั้นนำการสร้างศรัทธา
1.1 ผู้สอนจัดสิ่งแวดล้อมและบรรยากาศในชั้นเรียนให้เหมาะสมกับเนื้อหาของบทเรียนและเร้าใจให้ผู้เรียนเห็นความสำคัญของบทเรียน
1.2 ผู้สอนสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับผู้เรียน และแสดงความรักความเมตตาความจริงใจต่อผู้เรียน
2.ขั้นสอน
2.1 ผู้สอนหรือผู้เรียนนำเสนอสถานการณ์ปัญหาหรือกรณีตัวอย่างมาฝึกทักษะการคิดปฏิบัติในกระบวนการเผชิญสถานการณ์
2.2 ผู้เรียนฝึกทักษะการแสวงหาและรวบรวมข้อมูล ข้อเท็จจริง ความรู้และหลักการต่างๆ
2.3 ผู้ฝึกสรุปประเด็นสำคัญ ฝึกประเมินค่า เพื่อหาแนวทางแก้ปัญหา
2.4 ผู้เรียนฝึกทักษะการเลือกและการตัดสินใจโดยการฝึกการประเมินค่าตามเกณฑ์ที่ถูกต้อง
2.5ผู้เรียนลงมือปฏิบัติ
3.ขั้นสรุป
3.1 ผู้เรียนแสดงออกด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การพูด เขียน แสดง หรือกระทำในรูปแบบต่างๆที่เหมาะสมกับความสามารถและวัย
3.2 ผู้เรียนและผู้สอนสรุปบทเรียน
3.3 ผู้สอนวัดและประเมินผลการเรียนการสอน
1.2 รูปแบบการเรียนการสอนโดยการสร้างศรัทธาและโยนิโสมนสิการ พัฒนาโดย สุมน อมรวิวัฒน์
- ทฤษฎี
ในปี พ.ศ.2526 สุมน อภรวิวัฒน์ นักการศึกษาไทยผู้มีชื่อเสียงและมีผลงานทางการศึกษาจำนวนมาก ได้นำแนวคิดจากหนังสือพุทธธรรมของพระราชวรมุณี (ประยุทธ์ ปยุตโต) เกี่ยวกับการสร้างศรัทธาและโยนิโสมนสิการมาสร้างเป็นหลักการและขั้นตอนการสอนตามแนวพุทธวิถี รูปแบบการเรียนการสอนนี้พัฒนาขึ้นจากหลักการที่ว่า ครุเป็นบุคคลสำคัญที่สามารถจัดสภาพแวดล้อม แรงจูงใจ และวิธีการสอนให้ศิษย์เกิดศรัทธาที่จะเรียนรุ้ การฝึกฝนวิธีการคิดแยบคายและนำไปสู่ปฏิบัติจนประจักษ์จริงโดยครูทำหน้าที่เป็นกัลยาณมิตรช่วยให้ศิษย์มีโอกาสคิดและแสดงออกอย่างถูกวิธี จะสามารถช่วยพัฒนาให้ศิษย์เกิดปัญญาและแก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสม
- กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ
1. ขั้นนำ การสร้างเจตคติที่ดีต่อครู วิธีการเรียนและบทเรียน
1.1 จัดบรรยากาศในชั้นเรียนให้เหมาะสม
1.2 สร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างครูกับศิษย์
1.3 การเสนอสิ่งเร้าและแรงจูงใจ
2. ขั้นสอน
2.1 ครูเสนอปัญหาที่เป็นสาระสำคัญของบทเรียน
2.2 ครูแนะนำแหล่งวิทยาการและแหล่งเรียนรู้
2.3 ครูฝึกการรวบรวมข้อมูล ข้อเท็จจริง ความรู้ และหลักการ
2.4 ครูจัดกิจกรรมที่กระตุ้นให้ผู้เรียนคิด ลงมือค้นคว้า คิดวิเคราะห์และสรุป
2.5 ครูฝึกการสรุปประเด็นของข้อมูล
2.6 ศิษย์ดำเนินการเลือกและตัดสินใจ
2.7 ศิษย์ทำกิจกรรมฝึกปฏิบัติเพื่อพิสูจน์ผลการเลือก
3. ขั้นสรุป
3.1 ครูและศิษย์รวบรวมข้อมูลจากการสังเกตการณ์ปฏิบัติทุกขั้นตอน
3.2 ครูและศิษย์อภิปรายร่วมกันเกี่ยวกับข้อมูลที่ได้
3.3 ครูและศิษย์สรุปผลการปฏิบัติ
3.4 ครูและศิษย์สรุปบทเรียน
3.5 ครูวัดและประเมินผลการเรียนการสอน
1.3 รูปแบบการเรียนการสอนกระบวนการคิดเป็นเพื่อการดำรงชีวิตในสังคมไทย พัฒนาโดย หน่วยศึกษานิเทศก์ กรมสามัญศึกษา
- ทฤษฎี
หน่วยศึกษานิเทศก์ กรมสามัญศึกษา (2537) ได้พัฒนารายวิชา"การคิดเป็นเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตและสังคมไทย" ขึ้นเพื่อพัฒนานักเรียนระดับมัธยมศึกษาให้สามารถคิดเป็นรู้จักและเข้าใจตนเอง รายวิชาประกอบด้วยเนื้อหา 3 เรื่อง คือ 1. การพัฒนาความคิด (สติปัญญา) 2. การพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม (สัจธรรม) และ 3. การพัฒนาอารมณ์ ความรู้สึก
- กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ
ขั้นที่ 1 ขั้นสืบปัญหา
ขั้นที่ 2 ขั้นรวบรวมข้อมูลและผสมผสานข้อมูล 2 ด้าน
ขั้นที่ 3 ขั้นการตัดสินใจอย่างมีเป้าหมาย
ขั้นที่ 4 ขั้นปฏิบัติและตรวจสอบ
ขั้นที่ 5 ขั้นประเมินผลและวางแผนพัฒนา
1.4 รูปแบบการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูย์กลาง : โมเดลซิปปา (CIPPA)
ทิศนา แขมมณี (2543 : 17) รองศาสตราจารย์ ประจำคณะครุศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้พัฒนารูปแบบนี้ขึ้นจาประสบการณ์ที่ได้ใช้แนวคิดทางการศึกษาต่างๆในการสอนมาเป็นเวลาประมาณ30ปี และพบว่าแล้วคิดจำนวนหนึ่งสามารถใช้ได้ผลดีตลอดมา ผู้เขียนจึงได้นำแนวคิดเหล่านั้นมาประสานกัน ทำให้เกิดเป็นแบบแผนขึ้นแนวคิดดังกล่าวได้แก่ (1) แนวคิดการสร้างความรู้ (2) แนวคิดเกี่ยวกับกระบวนการกลุ่มและการเรียนรู้แบบร่วมมือ (3) แนวคิดเกี่ยวกับความพร้อมในการเรียนรู้ (4) แนวคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้กระบวนการ และ (5) แนวคิดเกี่ยวกับการถ่ายโอนการเรียนรู้
ทิศนา แขมมณี (2543 : 17-20) ได้ใช้แนวคิดเหล่านี้ในการจัดการเรียนการสอนโดยจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในลักษณะที่ให้ผู้เรียนเป็นผู้สร้างความรู้ด้วยตนเอง ( construc-tion of knowledge ) ซึ่งนอกจากผู้เรียนจะต้องเรียนด้วยตนเองและพึ่งตนเองแล้ว ยังต้องพึ่งการปฎิสัมพัธ์ ( interaction ) กับเพื่อน บุคคลอื่นๆ และสิ่งแวดล้อมรอบตัวด้วย รวมทั้งต้องอาศัยทักษะกระบวนการ ( process skills ) ต่างๆ จำนวนมากเป็นเครื่องมือในการสร้างความรู้ นอกจากนั้นการเรียนจะเป็นไปอย่างต่อเนื่องได้ดี หากผู้เรียนอยู่ในสภาพที่มีความพร้อมในการรับรู้ และเรียนรู้ มีประสาทการรับรู้ที่ตื่นตัว ไม่เฉื่อยฉา ซึ้งสิ่งที่สามารถช่วยให้ผู้เรียนอยู่ในสภาพดังกล่าวได้ก็คือ การให้มีการเคลื่อนไหวทางกาย ( physical participation ) เรียนรู้ที่มีความหมายต่อตนเอง และความรู้ความเข้าใจที่เกิดขึ้น จะมีความลึกซึ้งและอยู่คงทนมากขึ้น หากผู้เรียนมีโอกาสนำความรู้นั้นไปประยุกต์ใช้ ( application ) ในสถานการณ์ที่หลากหลาย ด้วยแนวคิดดังกล่าว จึงเกิดแบบแผน “CIPPA” ขึ้น ซึ่งผู้สอนสามารถนำแนวคิดทั้ง 5 ดังกล่าวไปใช้เป็นหลักในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางให้มีคุณภาพได้
วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
รูปแบบนี้มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เกิดความรู้ ความเข้าใจในเรื่องที่เรียนอย่างแท้จริงโดยการให้ผู้เรียนสร้างความรู้ด้วยตนเองโดยอาศัยความร่วมมือจากกลุ่ม นอกจากนั้นยังช่วยพัฒนาทักษะกระบวนการต่างๆ จำนวนมาก อาทิ กระบวนการคิด กระบวนการกลุ่ม กระการปฏิสัมพันธ์สังคม และกระบวนการแสวงหาความรู้ เป็นต้น
กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ
ซิปปา ( CIPPA ) เป็นการหลักซึ่งสามารถนำไปใช้เป็นหลักในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ต่างๆ ให้แก่ผู้เรียน การจัดกระบวนการเรียนการสอนตามหลัก “CIPPA” นี้สามารถใช้วิธีการและกระบวนการที่หลากหลาย ซึ่งอาจจัดเป็นแบบแผนได้หลายรูปแบบ รูปแบบหนึ่งที่ผู้เขียนได้นำเสนอไว้และได้มีการนำไปทดลองใช้แล้วได้ผลดี ประกอบด้วยขั้นตอนการดำเนินการ 7 ขั้นตอนดังนี้
ขั้นที่ 1 การทบทวนความรู้เดิม
ขั้นนี้เป็นการดึงความรู้เดิมของผู้เรียนในเรื่องที่จะเรียน เพื่อช่วยให้ผู้เรียนมีความพร้อมในการเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เดิมของตน ซึ่งผู้สอนอาจใช้วิธีการต่างๆ ได้อย่างหลากหลาย
ขั้นที่ 2 การแสวงหาความรู้ใหม่
ขั้นนี้เป็นการแสวงหาข้อมูลความรู้ใหม่ของผู้เรียนจากแหล่งข้อมูลหรือแหล่งความรู้ต่างๆ ซึ่งครูอาจจัดเตรียมมาให้ผู้เรียนหรือให้คำแนะนำเกี่ยวกับแหล่งข้อมูลต่างๆ เพื่อให้ผู้เรียนไปแสวงหาก็ได้
ขั้นที่ 3 การศึกษาทำความเข้าใจข้อมูล/ความรู้ใหม่ และเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความเดิม
ขั้นนี้เป็นขั้นที่ผู้เรียนจะต้องศึกษาและทำความเข้าใจกับข้อมูล/ความรู้ที่หามาได้ ผู้เรียนจะต้องสร้างความหมายของข้อมูล/ประสบการณ์ใหม่ๆ โดยใช้กระบวนการต่างๆ ด้วยตนเอง เช่น ใช้กระบวนการคิด และกระบวนการกลุ่มในการอภิปรายและสรุปความเข้าใจเกี่ยวกับข้อมูลนั้นๆ ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยการเชื่อมโยงกับความรู้เดิม
ขั้นที่ 4 การแลกเปลี่ยนความรู้ความเข้าใจกับกลุ่ม
ขั้นนี้เป็นขั้นที่ผู้เรียนอาศัยกลุ่มเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบความรู้ความเข้าใจของตน รวมทั้งขยายความรู้ความเข้าใจของตนเองให้กว้างขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนได้แบ่งปันความรู้ความเข้าใจของตนแก่ผู้อื่น และได้รับประโยชน์จากความรู้ ความเข้าใจของผู้อื่นไปพร้อมๆ กัน
ขั้นที่ 5 การสรุปและจัดระเบียบความรู้
ขั้นนี้เป็นขั้นของการสรุปความรู้ที่ได้รับทั้งหมด ทั้งความรู้เดิมและความรู้ใหม่ และสิ่งที่เรียนให้เป็นระบบระเบียบเพื่อช่วยให้ผู้เรียนจดจำสิ่งที่เรียนรู้ได้ง่าย
ขั้นที่ 6 การปฏิบัติ และ/หรือการแสดงผลงาน
หากข้อความรู้ที่ได้เรียนรู้มาไม่มีการปฏิบัติ ขั้นนั้นจะเป็นขั้นที่ช่วยให้ผู้เรียนได้มีโอกาสแสดงผลงานการสร้างความรู้ของตนเองให้ผู้อื่นรับรู้ เป็นการช่วยให้ผู้เรียนได้ตอกย้ำหรือตรวจสอบความเข้าใจของตนเองและช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนใช้ความคิดสร้างสรรค์แต่หากต้องมีการปฏิบัติตามข้อความรู้ที่ได้ ขั้นนี้จะเป็นขั้นปฏิบัติ และมีการแสดงผลงานที่ได้ปฏิบัติด้วย
ขั้นที่ 7 การประยุกต์ใช้ความรู้
ขั้นนี้เป็นขั้นของการส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ฝึกฝนการนำความรู้ความเข้าใจของตนไปใช้ในสถานการณ์ต่างๆ ที่หลากหลายเพื่อเพิ่มความชำนาญ ความเข้าใจ ความสามารถในการแก้ปัญหาและความจำในเรื่องนั้นๆ
หลังจากการประยุกต์ใช้ในความรู้ อาจจะมีการนำเสนอผลงานจากการประยุกต์อีกครั้งก็ได้ หรืออาจไม่มีการนำเสนอผลงานในขั้นที่ 6 แต่นำมารวมแสดงในขั้นตอนท้ายหลังขั้นการประยุกต์ใช้ก็ได้เช่นกัน ขั้นตอนตั้งแต่ขั้นที่ 1-6 เป็นกระบวนการของการสร้างความรู้ ( construc-tion of knowledge ) ซึ่งครูสามารถจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนมีโอกาสปฏิสัมพันธ์แลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน ( interaction ) และฝึกฝนทักษะกระบวนการต่างๆ ( process learning ) อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากขั้นตอนแต่ละขั้นตอนช่วยให้ผู้เรียนได้ทำกิจกรรมหลากหลายที่มีลักษณะให้ผู้เรียนได้มีการเคลื่อนไหวทางกาย ทางสติปัญญา ทางอารมณ์ และทางสังคม อย่างเหมาะสม 6 ทีคุณสมบัติตามหลักการ CIPP ส่วนขั้นตอนที่ 7 เป็นขั้นตอนที่ช่วยให้ผู้เรียนนำความรู้ไปใช้ ( application ) จึงทำให้เป็นรูปแบบนี้มีคุณสมบัติครบตามหลัก CIPPA
กระบวนการแก้ปัญหาตามหลักอริยสัจ 4 โดยสาโรช บัวศรี
- ขั้นกำหนดปัญหา (ขั้นทุกข์) คือ การให้ผู้เรียนระบุปัญหาที่ต้องการ
- ขั้นตั้งสมมติฐาน (ขั้นสมุทัย) คือ การให้ผู้เรียนวิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหา และ
ตั้งสมมติฐาน
3.ขั้นทดลองและเก็บรวบรวม คือ (ขั้นนิโรธ) คือการให้ผู้เรียนกำหนดวัตถุประสงค์และ
วิธีการทดลองเพื่อพิสูจน์สมมติฐานและเก็บรวบรวมข้อมูล
4.ขั้นวิเคราะห์ข้อมูลและสรุปผล (ขั้นมรรค) คือการนำข้อมูลมาวิเคราะห์และสรุป
กระบวนการกัลยาณมิตร โดย สุมน อมรวิวัฒน์
กระบวนการกัลยาณมิตร เป็นกระบวนการประสานสัมพันธ์ระหว่างบุคคลเพื่อจุดมุ่งหมาย 2 ประการคือ 1.ชี้ทางบรรเทาทุกข์ 2.ชี้สุขเกษมศานติ์ กระบวนการกัลยาณมิตรใช้หลักการที่พิสูจน์แล้วว่าเป็นหลักที่ช่วยให้คนพ้นทุกข์ได้ คือ หลักอริยสัจ 4มาใช้ควบคู่กับกลักกัลยาณมิตรธรรม 7 ในการจัดการเรียนการสอนซึ่งมีกระบวนการหรือขั้นตอน 8 ขั้นด้วยกันดังนี้
1.หาสร้างความไว้ใจตามหลักกัลยาณมิตร 7 ได้แก่ การที่ผู้สอนวางตนใหเ้เป็นผู้เคารพน่ารัก เป็นที่พึ่งแก่ผู้เรียนได้ มีความรู้และฝึกหัดอบรมและปรับปรุงตนเองอยู่เสมอ สามารถสื่อสารชี้แจงให้ศิษย์เกิดความเข้าใจ แจ่มแจ้ง มีความอดทนพร้อมที่จะรับฟังคำปรึกษาและมีความตั้งใจสอนด้วยความเมตตา ช่วยให้ผู้เรียนพ้นจากเสื่อม
2.การกำหนดและจับประเด็นปัญหา(ขั้นทุกข์)
3. การร่วมกันคิดวิเคราะห์เหตุของปัญหา (ขั้นสมุทัย)
4. การจัดลำดับความเข้มข้นของระดับปัญหา (ขั้นสมุทัย)
5. การกำหนดจุดหมายหรือสภาวะพ้นปัญหา (ขั้นนิโรธ)
6. การร่วมกันคิดวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของการแก้ปัญหา (ขั้นนิโรธ)
7. การสร้างลำดับจุดหมายของภาวะพ้นปัญหา(ขั้นนิโรธ)
8. การปฏิบัติเพื่อแก้ปัญหาตามแนวทางที่ถูกต้อง
กระบวนการสอนค่านิยมและจริยธรรม โดย โกวิท ประวาลพฤษ์
โกวิท ประวาลพกษ์ (2532) นักวิชาการคนสำคัญท่านหนึ่งในวงการศึกษาได้เสนอความคิดเกี่ยวกับการพัฒนาค่านิยมและจริยธรรมไว้ว่า ควรเริ่มต้นด้วยการพัฒนาเหตุผลเชิงจริยธรรมและดำเนินการสอนตามขั้นตอนดังนี้
1. กำหนดพฤติกรรมทางจริยธรรมที่พึงปรารถนา
2. เสนอตัวอย่างพฤติกรรมในปัจจุบัน
3. ประเมินปัญหาเชิงจริยธรรม
4. แลกเปลี่ยนผลการประเมิน
5. ฝึกพฤติกรรมโดยมีผลสำเร็จ
6. เพิ่มระดับการขัดแย้ง
7. ให้ผู้เรียนประเมินตนเอง
8. กระตุ้นให้ผู้เรียนยอมรับตัวเอง
กระบวนการต่างๆโดยกรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ
กระทรวงศึกษาธิการ โดยกรมวิชาการ สำนักงานคณะกรรมการการประถมแห่งชาติ กรมสามัญ และกรมการศึกษาเอกชน ได้สนับสนุนให้มีการพิจารณานำกระบวนการเรียนรู้แบบต่างๆไปใช้ในการเรียนการสอน โดยเสนอแนะกระบวนการที่ครูควรใช้ 12 กระบวนการด้วยกันดังนี้ (กรมวิชาการ 2534)
ทักษะกระบวนการ (9ขั้น)
กระบวนการสร้างความคิดรวบยอด
กระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
กระบวนการการแก้ปัญหา
กระบวนการสร้างสรรค์ความตระหนัก
กระบวนการปฏิบัติ
กระบวนการคณิตศาสตร์
กระบวนการเรียนภาษา
กระบวนการกลุ่ม
กระบวนการสร้างเจตคติ
กระบวนการสร้างค่านิยม
กระบวนการสร้างการเรียนรู้ความเข้าใจ
กรมวิชาการกระทรวงศึกษาธิการ (2534) ไดให้ความหมายของการสอนที่เน้นกระบวนารไว้ว่า เป็นการสอนที่
ก. สอนให้ผู้เรียนสามารถทำตามขั้นตอนได้และรับรู้ขั้นตอนทั้งหมดจนสามารถนำไปใช้ได้จริงในสถานการณ์ใหม่ๆ
ข. สอนให้ผู้เรียนได้ฝึกฝนจนเกิดทักษะ สามารถนำไปใช้ได้อย่างอัตโนมัติ
การสอนกระบวนการจะเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้เงื่อนไข ดังนี้
1.ครูมีความเข้าใจและใช้กระบวนการนั้นอยู่
2. ครูนำผู้เรียนผ่านขั้นตอนต่างๆของกระวนการทีละขั้นอย่างเข้าใจครบถ้วนครบวงจร
3.ผูเรียนเข้าใจและรับรู้ขั้นตอนของกระบวนการนั้น
4. ผู้เรียนนำกระบวนการนั้นไปใช้ในสถานการณ์ใหม่ได้
5. ผู้เรียนใช้กระบวนการนั้นในชีวิตประจำวันจนเป็นนิสัย
จะเห็นได้ว่ากระบวนการเหล่านี้ผู้สอนจะต้องเป็นผู้วางแผนนำให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการเรียนรู้จนบรรลุตามเป้าหมายที่วางไว้ ดังนั้น กระบวนการที่จะใช้เป็นกระบวนการใดก็ย่อมขึ้นอยู่กับจุดประสงค์การเรียนรู้เป็นสำคัญ
ออกแบบโมเดล และสรุปความเข้าใจ (งานกลุ่ม)
สรุป
การจัดการเรียนการสอนที่ประสบผลสำเร็จมิใช่เพียงแค่ทำความเข้าใจและปฏิบัติเพียงอย่างเดียวเท่านั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทบทวนในสิ่งที่ได้เรียนปฏิบัติหลังจากที่ได้สอนไป ต้องวิเคราะห์ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นระหว่างการสอน และนำมาปรับปรุงในการสอนครั้งหน้าเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่คุณค่าที่ดี
สรุป
การกำหนดโครงสร้างหลักสูตรนั้นผู้สอนต้องคำนึงถึงจุดประสงค์ของผู้เรียนว่าเขาต้องการอะไรเพื่อนำไปใช้ในชีวิตจริงและจะต้องกำหนดกลยุทธ์การสอนที่จะส่งผลให้บรรลุจุดประสงค์นั้นเพื่อนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ผู้เรียนจะแสดงออกมาไม่ว่าจะเป็นผลลัพธ์ที่แสดงออกในห้องเรียน ผลลัพธ์ที่แสดงออกในสถานที่โรงเรียนและผลลัพธ์ที่เรียนแสดงออกในโลกแห่งความเป็นจริง
ที่มา http://adi2learn.blogspot.com/
สรุป
มนุษย์นั้นล้วนมีความต้องการให้ชีวิตมีความมั่นคงเป็นธรรมดา จึงต้องมีการทบทวนหรือตั้งคำถามกับสิ่งหรือคนที่เราต้องอยู่ร่วมกัน เพื่อให้เกิดกระบวนการคิดวิเคราะห์เพื่อหาสาเหตุที่ส่งผลให้เกิดผลลัพธ์ต่างๆ ทบทวนในสิ่งที่ตัวเองได้ประสบมาเพื่อนำไปสู่การปรับปรุงและวางแผนอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
บทสรุป
ในช่วง 3 ทศวรรษที่ผ่านมา ในขณะที่วงการศึกษาไทยรับแนวคิดและแนวทางต่างๆจากต่างประเทศเข้ามาเผยแพร่และใช้ในประเทศนั้น ได้มีนักคิด นักการศึกษาไทยจำนวนหนึ่งพยายามค้นคิดและพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนหรือกระบวนการเรียนการสอนขึ้จากความรู้ความคิดและประสบการณ์ของตนหรือประยุกต์จากทฤษฎีและหลักการทั้งของไทยและต่างประเทศที่ได้รับการยอมรับอยู่แล้ว บางรูปแบบหรือกระบวนการที่พัฒนาขึ้น ได้รับการพิสูจน์ทดสอบอย่างเป็นระบบระเบียบตมกระบวนการวิจัย แต่บางรูปแบบหรือกระบวนการเป็นการนำเสนความคิด แม้จะยังไม่ได้รับการพิสูจน์ทดสอบอย่างเป็นระบบแต่ก็ได้รับความสนใจและความนิยมโดยทั่วไปรูปแบบและกระบวนการที่ได้นำเสนอไว้ในบทนี้ ประกอบด้วยรูปแบบการเรียนการสอนที่ไดเพัฒนาขึ้นโดยนัการศึกษาไทยหรือหน่วยงานทางการศึกษาของไทยจำนวน 4 รูปแบบ ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการพัฒนาความสามารถของผู้เรียนในการคิดการเผชิญสถานการณ์ การตัดสินใจและการแก้ปัญหารวมทั้งพัฒนากระบวนการเรียนรู้ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติการศึกษา พ.ศ. 2542 นอกจากนั้นยังมีรูปแบบการเรียนการสอนที่น่าสนใจ ซึ่งพัฒนาขึ้นโดยใช้กระบวนการวิจัยในารพัฒนาและได้รับการพิสูจน์ทดสอบประสิทธิภาพมาแล้ว ซึ่งครูสามารถนำไปใช้ในการพัฒนาผู้เรียนทั้งในระดับก่อนประถมศึกษา มัธยมศึกษา อุดมศึกษา รวมทั้งอาชีวศึกษาได้ นอกจากนั้นยังมีกระบวนการทางด้านการเรียนรู้วิชาการต่างๆ เช่น การเรียนรู้ภาษา และคณิตศาสตร์ เป็นต้น ความหลายหลากของรูปแบบและกระบวนการดังกล่าวข้างต้นสามารถช่วยให้ผู้สอนมีทางเลือกในการจัดการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพ รวมทั้งมีความแปลกใหม่ซึ่งจะสามารถจูงใจให้ผู้เรียนเกิดความสนใจใฝ่รู้มากขึ้นด้วย
อ้างอิง
พิจิตรา ธงพานิช.
วิชาการออกแบบและการจัดการเรียนรู้ในชั้นเรียน. พิมพ์ครั้งที่ 3 นครปฐม :
โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์,
2560.