การเลือกและพัฒนาสื่อการเรียนการสอน
ความหมายของสื่อ
คำว่าสื่อ (medium หรือ media) ในที่นี้ความหมายกว้างมาก
การเรียนการสอนในบางครั้งอาจเกิดขึ้นจากเสียงของผู้สอน ตำรา เทป วีดีทัศน์
ภาพยนตร์ และคอมพิวเตอร์ medium หรือ media มาจากภาษาลาติน หมายถึง บางสิ่งบางอย่างที่อยู่ตรงกลาง
(intermediate หรือ middle)
หรือเครื่องมือ (instrument)
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นวิธีการของการสื่อสารที่ส่งไปถึงประชาชน
เป็นพาหนะของการโฆษณา (Guralnikjv07,1970)
ดังนั้นเมื่อพิจารณาในด้านของการสื่อสารแล้ว
สื่อจึงหมายถึงสิ่งที่เป็นพาหนะนำความรู้หรือสารสนเทศจากแหล่งกำเนิดไปสู่ผู้รับ
เช่น วิทยุ โทรทัศน์ ภาพยนตร์ รูปภาพ วัสดุฉาย สิ่งพิมพ์และสิ่งดังกล่าว
เมื่อนำมาใช้กับการเรียนการสอน เราเรียกว่าสื่อการสอน
การเลือกและพัฒนาสื่อการเรียนการสอน
เป็นเรื่องสำคัญอีกประการหนึ่งในระบวนการออกแบบการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบ
นักออกแบบการเรียนการสอนต้องตัดสินใจเกี่ยวกับวิธีการ/สื่อ หรือเลือกวิธีการ เลือกวัสดุอุปกรณ์
ระบุประโยชน์ของวัสดุอุปกรณ์ทางการค้าริเริ่มและเฝ้าระวัง
บทบาทของผู้ออกแบบ
ผู้ออกแบบต้องจำกัดบทบาทในการทำหน้าที่
ต้องสามารถปฏิบัติให้แล้วเสร็จและมีประสิทธิภาพ ต้องรับรู้การกระทำหน้าที่เป็นผู้ผลิตสื่อ
ผู้ถ่ายภาพ หรือผู้วางโปรแกรมด้วยและเป็นการท้าทายสำหรับผู้ออกแบบในการที่จะพยายามทำให้ผู้อื่นเข้าใจได้
โดยลำพังตนเองแล้วไม่สามารถที่จะผลิตสื่อได้ทั้งหมดหรืออาจต้องการคำแนะนำเพิ่มจากผู้ร่วมงานในทีมมากกว่าที่จะทำคนเดียว
ความรับผิดชอบที่จำเป็นคือ
การตัดสินใจเลือกวิธีการ/สื่อในขณะที่สมาชิกของทีมหรือผู้นำทีมริเริ่มหรือแนะนำกระบวนการผลิต
ผู้ออกแบบจะทำสิ่งนี้ได้ดีถ้ารู้จักทำหน้าที่ในลักษณะของผู้วิจัย ผู้เขียนสคริป
ผู้ถ่ายภาพ และผู้เรียบเรียง สิ่งเหล่านี้ไม่ได้หมายความว่าไม่เคยผลิตหรือไม่เคยช่วยเรียบเรียงแต่หมายความว่า
รับรู้หน้าที่ในการให้คำแนะนำและจำกัดทักษะตัวอย่างเช่น
มีการพัฒนาทักษะกระบวนการกลุ่มมากขึ้น
และใช้ประโยชน์ได้มากขึ้นกว่าทักษะด้านการถ่ายภาพ
คุณสมบัติของนักออกแบบ
ในการเป็นนักออกแบบที่ดี
จะต้องมีความสามารถ และมีลักษณะนิสัยที่ช่วยให้การออกแบบมีคุณภาพ
และประสบความสำเร็จตามจุดมุ่งหมาย คุณสมบัติของนักออกแบบมีหลายประการ
ซึ่งพอจะจำแนกออกได้ดังนี้
1. เป็นผู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์
และมีความเชื่อมั่นในตนเอง
นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุดเลยของนักออกแบบ
ความคิดสร้างสรรค์ถ้าอันตัวคุณนั้นขาดสมองและความคิดในการสร้างสรรค์ผลงาน
ไม่เคยสร้าง ไม่เคยคิด หรือเอาแต่ลอก copy ดัดแปลงของคนอื่นเค้าโดยไม่ใช้เวลาในการคิดสิ่งใหม่ๆ
ซะบ้าง คุณก็ไม่สามารถเรียกหรืองว่าให้คนอื่นเรียกคุณว่านักออกแบบได้เลยครับ
เพระว่า นักออกแบบ ต้องเป็นผู้สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆเสมอ
2. เป็นผู้ที่มีทักษะในการออกแบบ
ทักษะ หมายถึง
สิ่งที่เกิดขึ้นจากการทดลองปฏิบัติ ทำซ้ำๆ จนเกิดความชำนาญ
และเข้าใจอย่างถ่องแท้ในแขนงนั้นๆ ซึ่งข้อนี้ก็จะหมายความว่า ถ้าคุณคิดไอเดียอะไรใหม่ๆออกมาได้แต่คุณไม่ลงมือทำ
หรือปฏิบัติ สร้างสรรค์ออกมาเป็นผลงานจริง
คุณก็จะไม่ได้ทักษะหรือความเข้าใจในกระบวนการทำงานนั้นๆเลย ยกตัวอย่างเช่น
คุณทะนงตัวว่าคุณใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์เป็นทุกอย่าง คุณเลยไม่ฝึกใช้งานมันบ่อยๆ
ให้เกิดความชำนาญ แต่อีกคนหนึ่งฝึกใช้ทุกวันจนมีความชำนาญอย่างสูง เมื่อถึงเวลาลงมือปฏิบัติจริง
ในระยะเวลาที่กำหนด คุณทำเสร็จเหมือนกันแต่ใช้เวลาในการปฏิบัติไป 2 ชั่วโมง
ในขณะที่อีกคนนั้นใช้เวลาแค่ 30 นาทีเท่านั้นเอง สิ่งนี้เรียกว่า ทักษะ
และมันจะเห็นผลจริงในการทำงาน
ต่อให้คุณออกแบบมาดีเลิศแค่ไหนแต่สิ่งนั้นไม่สามารถสร้างสรรค์ออกมาเป็นผลงานจริงๆได้ก็ไม่มีประโยชน์เพราะใช้เวลามากเกินไป
ในขณะที่นักออกแบบไม่ได้มีแค่คุณคนเดียว
ตลอดเวลามีคนคิดสิ่งใหม่ออกมาได้เสมอและก้าวหน้าคุณเสมอ
ฉะนั้นหมั่นฝึกสนทักษะไว้ให้ชำนาญ
3.
เป็นผู้ที่รู้จักสังเกตและทำความเข้าใจกับสิ่งแวดล้อมรอบๆตัว ซึ่งมีทั้งสภาพทางธรรมชาติ
และสิ่งต่างๆที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้น
เพื่อให้เป็นแหล่งความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบ
นี่คือคุณสมบัติเริ่มต้นของนักออกแบบ
คือเป็นผู้ช่างสังเกต การเป็นผู้ช่างสังเกตนั้น จะได้มุมมองใหม่ๆ
จากสิ่งที่เราสังเกตเห็นเสมอ ไม่ว่าสิ่งนั้นมันจะเล็กน้อยเพียงใดแต่มันก็ทำให้เกิดความคิดที่ยิ่งใหญ่
ถ้ารู้จักคิด รู้จักสังเกต รู้จักพิจารณา และพัฒนาตัวเอง อันนี้ยกตัวอย่างได้ง่าย
คือ เซอร์ไอแซก นิวตัน (Sir
Isaac Newton) ถ้าวันนั้นเค้าไม่สังเกตผลแอบเปิ้ลที่หล่นลงมาจากต้นไม้
เราก็คงอาจจะมารู้จักเรื่องของแรงโน้มถ่วงของโลกในอีก 500 ปีข้างหน้าก็ได้
เพระความช่างสังเกต ช่างตั้งคำถามและต้องการหาคำตอบของเค้า มนุษย์บนโลกจึงได้ก้าวเข้าสู่ยุดของกฎของแรงโน้มถ่วง
หรือ กฎของนิวตัน ซึ่งเป็นต้นแบบของแนวคิดหลายๆแบบต่อๆ กันมาจนปัจจุบันนี้
4. เป็นผู้ที่ติดตามการเปลี่ยนแปลงและความเคลื่อนไหวของงานออกแบบสร้างสรรค์ทุกสาขาอยู่เสมอ
ทำไมถึงต้องรอบรู้ในทุกๆเรื่อง
ทุกสาขาด้วย
เพราะว่านักออกแบบที่ดีนั้นควรจะรอบรู้ในทุกแขนงวิชาเพื่อนำความรู้นั้นมาช่วยในการพัฒนาและออกแบบ
ไม่ว่าจะเป็นในศาสตร์ใดๆก็ตาม เช่น เมื่อเราต้องการจะออกแบบ เก้าอี้สำหรับคนพิการทางเท้า
เราก็ต้องศึกษาหาความรู้ว่า
ทำอย่างไงถึงจะออกแบบให้คนพิการทางเท้านั้นได้สามารถใช้
สิ่งที่เราคิดออกแบบมานั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
เราต้องเริ่มศึกษาตั้งแต่ เรื่องของกายวิภาคศาสตร์ เรื่องของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
เรื่องของวัสดุที่จะนำมาใช้ แม้กระทั่งเรื่องของจิตใจของผู้พิการนั้นเอง
เพื่อที่เราจะได้นำข้อมูลทั้งหมดนั้นมาประมวลหาความพอดี ความเหมาะสม และลงมือปฏิบัติให้เกิดผลที่น่าพอใจ
ทั้งต่อเรา และผู้ใช้ให้มากที่สุดนั้นเอง
5. เป็นผู้ที่มีความสนใจศึกษาความเชื่อ และผลงานที่ออกแบบตามความเชื่อในยุคต่าง
ๆ ที่ผ่านมา
เพื่อนำมาใช้เป็นพื้นฐานในการออกแบบสร้างสรรค์ให้ก้าวหน้าต่อไปในปัจจุบันและอนาคต
เรื่องราวในอดีตนั้นไม่ใช่เป็นเรื่องของล้าสมัย
ทุกอย่างล้วนมีความลงตัวและดีที่สุดในยุคสมัยนั้นๆ เพียงแต่เทคโนโลยี่ทางวัตถุนั้นอาจจะยังเทียบกับสมัยนี้ไมได้
เน้นว่าเฉพาะวัตถุเท่านั้น แต่ไอเดียและความคิดนั้นเรียกได้ว่าจะ 100 ปี หรือ 1000
ที่แล้ว มนุษย์ก็มีความคิดใหม่ๆ มาเสมอ
ฉะนั้นการที่เราจะศึกษาแนวความคิดของการออกแบบในยุคสมัยต่างๆ
นั้นมีประโยชน์เป็นอย่างมากในการทำความเข้าใจในจุดประสงค์และสามารถนำความคิดนั้นมาพัฒนาต่อยอดไปได้เรื่อยๆ
เช่น ในยุคที่มนุษย์เริ่มคิดค้นเครื่องทุนแรง ในการล่าสัตว์หรืออาวุธนั้นเอง
จากไม้แหลมที่ไว้แทงล่าสัตว์ ก็กลายมาเป็นหิน
และหินนั้นก็มีหลายชนิดจนกระทั่งค้นพบหินที่มีความเหมาะสมแข็งและวิธีทำให้ได้รูปทรงตามต้องการ
จนมาถึงยุคของเหล็กและทองแดงและจนปัจจุบัน
ตามข้อความนี้ก็จะเห็นได้ว่ามนุษย์ทุกยุคนั้นคิดอาวุธได้ดีเสมอ
เมื่อมีการค้นพบวัสดุใหม่ๆ และนำมาใช้การสร้างและปรับปรุงพัฒนาไปเรื่อยๆ
ฉะนั้นจึงไม่แปลกเลยถ้าเราจะศึกษาจากสิ่งของยุคเก่าและอย่าดูถูกของที่ล้าสมัยไปแล้วเพระว่าช่วงหนึ่ง
มันคือสิ่งที่ทันสมัยเหมือนกัน
6. เป็นผู้ที่เข้าใจสภาพแวดล้อมของสังคม
และความต้องการของประชาชน เพื่อให้การออกแบบสอดคล้องกับความต้องการ
สังคม
เป็นสิ่งที่อยู่กับนักออกแบบเสมอๆ
สังคมคือกลุ่มที่มนุษย์นั้นรวมตัวกันอยู่และใช้วิถีชีวิตร่วมกัน
เราก็คือส่วนหนึ่งในสังคมที่เราอยู่ เมื่อเราต้องการ สร้างสรรค์
ออกแบบสิ่งหนึ่งสิ่งใดนั้นเราก็ต้องมองสังคมควบคู่ไปพร้อมกันด้วย
เพราะว่าสิ่งที่เราคิดนั้น
เมื่อมันออกมาเป็นผลงานแล้วสังคมไม่ให้การยอมรับหรือว่าไม่ใช้งานมันแล้วละก็
มันก็คงจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย
ฉะนั้นนักออกแบบที่ดีต้องใช้ชีวิตและอยู่ในสังคมนั้นๆ เข้าใจในวิถีชีวิต วัฒนธรรม
ประเพณีของสังคมนั้นๆ แล้วนำสิ่งที่ต้องการพัฒนามาปรับปรุง
สร้างสรรค์ให้เกิดสิ่งใหม่ที่สังคมนั้นๆ ต้องการ จึงจะทำให้ผลงานนั้นๆ
มีคุณค่าและได้รับการยอมรับ จึงจะเรียกว่านักออกแบบ
7. เป็นผู้ที่มีความเข้าใจงานออกแบบแต่ละชนิด
เพื่อให้การออกแบบตอบสนองได้ตรงตามจุดประสงค์ของงานออกแบบนั้น ๆ เช่น
การออกแบบโฆษณามีจุดประสงค์ในการจูงใจเป็นต้น
ในศาสตร์ของการออกแบบนั้น
เราจะออกแบบสิ่งๆใด เราต้องเข้าใจในกระบวนการของสิ่งที่ราต้องการจะให้เกิดผลตามที่เราคาดหวังไว้
ฉะนั้นเราต้องคิดให้เป็นกระบวนการตั้งแต่ ทำเพื่ออะไร ทำแล้วได้อะไร
ทำแล้วเกิดประโยชน์อย่างไร ทำแล้วจะใช้ได้จริงไหม
ทำแล้วจะประสบผลสำเร็จไหมแบบนี้เป็นต้น จุดเล็กๆ เหตุผลเล็กๆ
ของความต้องการของผู้อื่นอาจจะเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ของเราถ้าเราสามารถทำออกมาได้ตามความต้องการของคนคนนั้น
ประเภทของสื่อ
ผู้ออกแบบสามารถที่จะเลือกชนิดของสื่อให้มีอิทธิพลอย่างลึกซึ้งและมีอิทธิพลต่อประสิทธิผลของการเรียนรู้ที่คาดว่าจะเกิดได้
ถ้าผู้ออกแบบรับรู้ชนิดของสื่อที่มีอยู่ รวมทั้งข้อดีและข้อเสียด้วย
ดังนั้นผู้ออกแบบก็จะเป็นผู้ที่อยู่ในฐานะที่เป็นผู้ที่รู้จักเลือกชนิดของสื่อได้อย่างเหมาะสม
เราสามารถจำแนกสื่อได้ 4
ประเภท คือ สื่อทางหู (audio) ทางตา (visual) ทางหูและทางตารวมกัน (audio - visual) และสัมผัส (tactile) ผู้ออกแบบสามารถเลือกสื่อที่เหมาะสมที่สุดจากประเภทของสื่อต่างๆ
สำหรับภาระงานการเรียนการสอนที่มีความเฉพาะเจาะจงสื่อต่างๆทั้ง 4 ประเภท และตัวอย่างที่เกี่ยวข้องมีดังนี้
1. สื่อทางหู (audio) ได้แก่ เสียงของผู้ฝึก ห้องปฏิบัติการทางเสียง การเตรียมเทปสำหรับผู้ฝึกเทปแผ่นเสียง
วิทยุกระจายเสียง
2. สื่อทางตา ได้แก่
กระดานชอล์ก กระดานแม่เหล็ก กราฟ คอมพิวเตอร์ วัตถุต่างๆที่เป็นของจริง รูปภาพ
แผนภูมิ กราฟภาพถ่าย หุ่นจำลอง สิ่งที่ครูแจกให้ หนังสือ ฟิล์ม สไลด์ แผ่นใส
3. สื่อทางหูและทางตา
ได้แก่ เทปวิดีโอ ทีวีวงจรปิด โปรแกรมโสตทัศนวัสดุ สไลด์ เทป ภาพยนตร์เสียงในฟิล์ม
ทีวีทั่วไป เทคโนโลยีอื่นๆ เช่น ดิจิตอล วิดีโอ อินเตอร์แอคทิฟเทคโนโลยี (digital
video interactive technology)
4.
สื่อทางสัมผัส ได้แก่ วัตถุของจริง แบบจำลองในการทำงาน เช่น
ผู้แสดงสถานการณ์จำลอง
ประเภทของสื่อการสอนและการเลือกใช้
1. สื่อสิ่งพิมพ์
มีทั้งพิมพ์ที่จัดทำขึ้นเพื่อสนองการเรียนรู้ตามหลักสูตรโดยตรง
เช่น หนังสือเรียน คู่มือครู แผนการเรียนรู้
หนังสืออ้างอิง หนังสืออ่านเพิ่มเติม แบบฝึกกิจกรรม ใบงาน ใบความรู้ ฯลฯ และสิ่งพิมพ์ทั่วไปที่สามารถนำมาใช้ในกระบวนการเรียนรู้
เช่น วารสาร นิตยสาร จุลสาร หนังสือพิมพ์ จดหมายข่าว โปสเตอร์ แผ่นพับ แผ่นภาพ เป็นต้น
2. สื่อบุคคล
หมายถึง ตัวบุคคลที่ทำหน้าที่ถ่ายทอดสาระความรู้ แนวคิด และวิธีปฏิบัติตนไปสู่บุคคลอื่น นับเป็นสื่อการเรียนรู้ที่มีบทบาทสำคัญ
โดยเฉพาะในด้านการโน้มน้าวจิตใจของนักเรียน
สื่อบุคคลอาจเป็นบุคลากรที่อยู่ในสถานศึกษา เช่น ผู้บริหาร
ครู บุคลากรทางการศึกษา คนทำอาหาร
หรือตัวนักเรียนเอง หรืออาจเป็นบุคลากรภายนอกที่มีความเชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ
3. สื่อวัสดุ
เป็นสื่อที่เก็บสาระความรู้อยู่ในตัวเอง
จำแนกออกเป็น 2 ลักษณะ คือ
3.1 วัสดุประเภทที่สามารถถ่ายทอดความรู้อยู่ได้ด้วยตัวเอง
โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยอุปกรณ์ช่วย เช่น
รูปภาพ หุ่นจำลอง เป็นต้น
3.2
วัสดุประเภทที่ไม่สามารถถ่ายทอดความรู้ได้โดยตนเองจำเป็นต้องอาศัยอุปกรณ์อื่นช่วย
เช่น ฟิล์มภาพยนตร์ เทปบันทึกเสียง
ซีดีรอม แผ่นดิสก์ เป็นต้น
4.
สื่ออุปกรณ์
หมายถึงสิ่งที่เป็นตัวกลางหรือตัวผ่านทำให้ข้อมูลหรือความรู้ที่บันทึกในวัสดุสามารถถ่ายทอดอกมาให้เห็นหรือได้ยิน
เช่น เครื่องฉายแผ่นโปร่งใส
เครื่องฉายสไลด์
เครื่องฉายภาพยนตร์
เครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องบันทึกเสียง
เป็นต้น
5. สื่อบริบท
เป็นสื่อที่ส่งเสริมหรือสนับสนุนการเรียนการสอน ได้แก่
สภาพแวดล้อม และสถานการณ์ต่าง ๆ เช่น ห้องเรียน ห้องปฏิบัติการ แหล่งวิทยาการหรือแหล่งเรียนรู้อื่นๆ เช่น ห้องสมุด
หรือเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติในรูปของสิ่งมีชีวิต เช่น พืชผัก ผลไม้ สัตว์ชนิดต่างๆ
หรืออยู่ในรูปของปรากฏการณ์หรือเหตุการณ์ที่มีอยู่หรือเกิดขึ้นรอบตัว ตลอดจนข่าวสารด้านต่างๆ
เป็นต้น
6. สื่อกิจกรรม
เป็นกิจกรรมหรือกระบวนการที่จัดขึ้นเพื่อเสริมสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ให้กับนักเรียน
ได้แก่ การแสดงละคร บทบาทสมมติ การสาธิต
สถานการณ์จำลอง การจัดนิทรรศการ
การไปทัศนศึกษานอกสถานที่
การทำโครงงาน
ข้อดีและข้อจำกัดของสื่อ
ข้อดีของสื่อประเภทฉาย
1. แสดงภาพตามความเป็นจริง
ทำให้จำได้ง่าย
2. สัมผัสได้ด้วยประสารทสัมผัสทั้ง
5 จึงเกิดการรับรู้ได้ดี
3.
อยู่ในลักษณะ 3 มิติ
4.
สามารถจับต้องและพิจารณารายละเอียดได้
5.
เหมาะสำหรับการแสดงสิ่งที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า (เช่น การแสดงอวัยวะ
ภายในของมนุษย์ สัตว์)
ข้อเสียของสื่อประเภทฉาย
1. การจัดหาลำบาก
2. บางครั้งราคาสูงเกินไป
3. ต้องอาศัยความชำนาญในการผลิต
4. ไม่เหมือนของจริงทุกประการ
บางครั้งเกิดความเข้าใจผิด
ข้อดีของสื่อสิ่งพิมพ์
1.กระบวนการในการผลิตวัสดุสิ่งพิมพ์สามารถทำได้หลายแบบ
เปิดโอกาสให้เลือกวิธีผลิตที่เหมาะสมกับสถานการณ์นั้นๆ
2.สามารถจัดพิมพ์ได้หลายรูปแบบ
ตามวัตถุประสงค์ที่จะนำไปใช้ เช่น ใบปลิว จดหมายเวียน และเอกสารเผยแพร่
3.
สามารถใช้วัสดุสิ่งพิมพ์ได้หลายๆ ทาง
อาจใช้เป็นสื่อให้การศึกษาด้วยตัวของมันเองหรือใช้สนับสนุนสื่ออื่นๆ ก็ได้
4. สิ่งพิมพ์สามารถผลิตเพื่อใช้ให้เหมาะกับกลุ่มเป้าหมายเฉพาะด้านได้
5. การผลิตสิ่งพิมพ์สามารถปรับให้เหมาะสมกับกระบวนการใช้และผลลัพธ์ที่ต้องการตามสภาพของเครื่องอำนวยความสะดวกที่มีอยู่
ข้อเสียของสื่อสิ่งพิมพ์
1. วัสดุสิ่งพิมพ์มีความบอบบางและฉีกขาดง่าย
2. เก็บรักษายากเนื่องจากมีลักษณะ
รูปทรง และขนาดแตกต่างกันมาก
3. การเก็บรักษาในระยะยาวสำหรับสิ่งพิมพ์จำนวนมากๆ
ยากที่จะป้องกันให้พ้นจากความเปียกชื้น ความร้อน และฝุ่นละออง
4. การพิมพ์ในระบบที่มีคุณภาพต้องใช้การลงทุนสูงมาก
โดยเฉพาะการพิมพ์ในระบบสี่สี
ข้อดีของสื่อประเภทเสียง
1. สามารถใช้กับกลุ่มเป้าหมายเป็นมวลชนจำนวนมากได้
2. ระยะกระจายเสียงกว้างและถ่ายทอดไปได้ในระยะไกล
3. ดึงดูดความสนใจของผู้ฟังและช่วยกระจายข้อมูลได้ในเวลาอันรวดเร็วมาก
4. สามารถใช้ได้โดยไม่จำกัดขนาดของกลุ่ม
5. เหมาะสำหรับการเรียนรู้กับทุกกลุ่ม
ข้อเสียของสื่อประเภทเสียง
1. การบันทึกเสียงคุณภาพสูงต้องใช้ห้องและอุปกรณ์เฉพาะ
2. บันทึกได้ง่ายและรวดเร็ว
ข้อดีของสื่อประเภทกิจกรรม
1. มีคุณค่าต่อสาธารณชนสูง
2. สามารถปรับให้เข้ากับสถานการณ์ทางการสอนได้มากเช่นในบ้าน
ในท้องที่สาธารณะต่าง ๆ
3. สามารถใช้สอนทักษะได้ดี
4. กระตุ้นและเร่งเร้าให้มีการกระทำ
เนื่องจากการได้เห็น การได้ยิน การอภิปรายและการกระทำ
5. เปิดโอกาสให้มีการพัฒนาผู้นำขึ้น
6. เปิดโอกาสให้ได้เรียนรู้ถึงปัญหาต่าง
ๆ หรือเรียนรู้ว่าประชาชนในกลุ่มผู้ดูมีความคิดและความรู้สึก
ข้อเสียของสื่อประเภทกิจกรรม
1. จำเป็นต้องเตรียมการเบื้องต้นและฝึกปฏิบัติอย่างระมัดระวัง
2. จำเป็นต้องอาศัยทักษะความชำนาญในเรื่องที่สาธิตและวิธีการ
3. ถ้าหากมีผู้ชมจำนวนมากอาจมีอุปสรรค
ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน
การตัดสินใจเกี่ยวกับสื่อ
สื่อเป็นวิธีการซึ่งมีการนำเสนอสารสนเทศและแลกเปลี่ยนประสบการณ์
ในขณะที่สื่อเป็นคำที่ใช้อ้างถึงแบบของการเรียนการสอน (mode of
delivery) จึงเป็นความจำเป็นที่ต้องมีวัสดุอุปกรณ์ที่จะส่งผ่านแบบการเรียนการสอนนั้น
ในทางตรรกะแล้วเป็นความจำเป็นทั้งส่วนที่เป็นอุปกรณ์ (hardware) และส่วนที่เป็นวัสดุ (software)
สำหรับการเรียนรู้ที่อาศัยคอมพิวเตอร์เป็นฐานเช่นเดียวกันกับสื่อโทรทัศน์ที่ต้องอาศัยโปรแกรมเป็นฐาน
การตัดสินใจเกี่ยวกับสื่อสามารถทำได้ก่อน
ทำตามหลัง หรือทำไปพร้อมๆกับการตกลงใจเกี่ยวกับวิธีการโดยทั่วๆ
ไปแล้วจะทำตามหลังหรือทำไปพร้อมๆกัน การบรรยายอาจจะต้องการองค์ประกอบของสื่อ
หรืออาจจะอยู่ในรูปแบบของโปรแกรมโทรทัศน์
ในสมัยก่อนวัสดุอุปกรณ์ส่วนใหญ่จะเป็นสื่อประเภทสิ่งพิมพ์
กฎในการเลือกสื่อ
กฎที่ 1 การเรียนการสอนโดยทั่วไปแล้วต้องการสื่อสองทาง
(two way media)
นักเรียนจะเรียนได้ดีที่สุดเมื่อมีปฏิสัมพันธ์กับวัตถุ/สื่อการเรียนการสอน ครู
สมุดทำงาน หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
กฎที่ 2 สื่อทางเดียว (one
way media) ควรจะได้รับการสนับสนุนโดยสื่อที่ให้ข้อมูลป้อนกลับ
ตัวอย่างคือ ภาพยนตร์หรือวีดีทัศน์ จะให้ประสิทธิผลมากกว่า
เมื่อมีคู่มือการใช้ควบคู่ไปด้วย หรือมีแบบฝึกปฏิบัติควบคู่ไปด้วย
หรือมีครูซึ่งสามารถที่จะถามคำถามและตอบคำถามได้
กฎที่ 3 การเรียนรู้ของแต่ละบุคคล
ต้องการสื่อที่มีความยืดหยุ่น ตัวอย่างคือ
ผู้ที่เรียนเช้าอาจจะต้องการสื่อการเรียนที่แตกแขนงออกไปเป็นพิเศษ เช่นการฝึกเสริม
(remedial exercise) ตัวอย่างเสริมเป็นพิเศษ
สื่อภาพยนตร์ควรจะส่งเสริมโดยการเยียวยาแก้ไขหรือมีกิจกรรมที่เหมาะสมกับความต้องการของแต่ละบุคคล
โปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอนสามารถที่จะสนองตอบได้อย่างดีเลิศในความยืดหยุ่นที่มีต่อปัจจัยบุคคล
กฎที่ 4 การนำเสนอโลกแห่งความเป็นจริง
ต้องการสื่อทางทัศนะวัสดุ ตัวอย่างนักเรียนพยาบาลเรียนรู้วิธีการตัดไหม
จำเป็นต้องการสาธิต (ภาพยนตร์ วีดีทัศน์ การสาธิตของจริง)
มากกว่าที่จะเขียนออกมาเป็นรายการของวิธีการตัดไหม
กฎที่ 5 พฤติกรรมที่คาดหวังหลังจากการเรียนการสอน
ควรจะให้มีการฝึกปฏิบัติในระหว่างที่มีการเรียนการสอน การได้ยิน
หรือการได้เห็นทักษะที่แสดงออกมาไม่เป็นการเพียงพอ
ตัวอย่างผู้ปฏิบัติจำเป็นต้องทำการตัดไหมตามที่เห็นในวีดีทัศน์
ไม่ว่าจะเป็นการตัดไหมเทียมๆหรือตัดไหมจริงๆ
กฎที่ 6 เหตุการณ์แต่ละเหตุการณ์ของบทเรียนอื่นๆ
อาจต้องการการเลือกสื่อที่มีความแตกต่างกัน ตัวอย่าง
ทฤษฎีที่อยู่บนหลักการของวิธีการทำหมัน อาจจะต้องการวัสดุอุปกรณ์ที่เป็นสิ่งพิมพ์
ในขณะที่วิธีการตัดไหม อาจจะต้องการสาธิตที่มีความเป็นเป็นจริงมากกว่า (วีดีทัศน์
ภาพยนตร์ ฯลฯ)
สรุป
สื่อการเรียนการสอนเป็นตัวกลางซึ่งมีความสำคัญในกระบวนการการเรียนการสอนมีหน้าที่เป็นตัวนำความต้องการของครูไปสู่ตัวนักเรียนอย่างถูกต้องและรวดเร็ว
เป็นผลให้นักเรียนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปตามจุดมุ่งหมายการเรียนการสอนได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม
สื่อการสอนจะช่วยส่งเสริมให้นักเรียนได้ทำกิจกรรมหลายๆรูปแบบช่วยให้ครูผู้สอนได้สอนตรงตามจุดมุ่งหมายการเรียนการสอน
และยังช่วยในการขยายเนื้อหาที่เรียนทำให้การสอนง่ายขึ้น และยังจะช่วยประหยัดเวลาในการสอน
นักเรียนจะได้มีเวลาในการทำกิจกรรมการเรียนมากขึ้น ในการเลือกสื่อสารการเรียนการสอนเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพต่อการเรียนการสอนนั้น
ผู้สอนจำเป็นต้องคำนึงถึงองค์ประกอบในการเลือกสื่อได้แก่ จุดมุ่งหมายของการสอน
รูปแบบและระบบของการเรียนการสอนลักษณะเฉพาะของผู้เรียน เกณฑ์เฉพาะของสื่อ วัสดุอุปกรณ์และตลอดจนสิ่งอำนวยความสะดวกที่มีอยู่
นอกจากนี้ยังต้องคำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเภทของสื่อกับคุณสมบัติเฉพาะและจุดประสงค์ของการเรียนการสอน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น